ภารกิจที่ 2/1
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560
สังข์ศิลป์ไซ
ภารกิจที่ ๑
๑.วิเคราะห์
ชื่อเรื่องนิทานสังข์ศิลป์ชัย
วรรณกรรมเรื่องสินไซ หรือสังข์ศิลป์ชัย เป็นนิทานพื้นบ้านอีสาน-ลาว ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความไพเราะ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นวรรณกรรมชั้นยอดของลาว เป็นเรื่องราวการผจญภัยและการต่อสู้กับฝ่ายอธรรมของ ๓ พี่น้อง ประกอบด้วย สังข์ สินไซและสีโห ซึ่งเชื่อกันว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองเป็งจาน จังหวัดหนองคาย ในปัจจุบัน
วรรณกรรมเรื่องสินไซ หรือสังข์ศิลป์ชัย เป็นนิทานพื้นบ้านอีสาน-ลาว ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความไพเราะ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นวรรณกรรมชั้นยอดของลาว เป็นเรื่องราวการผจญภัยและการต่อสู้กับฝ่ายอธรรมของ ๓ พี่น้อง ประกอบด้วย สังข์ สินไซและสีโห ซึ่งเชื่อกันว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองเป็งจาน จังหวัดหนองคาย ในปัจจุบัน
นิทานเรื่องนี้ได้รับความนิยมมาก เพราะชาวบ้านที่อยู่ในแถบภาคอีสานของไทย
รวมไปถึงในประเทศลาว ต่างรู้จักนิทานเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง
เนื่องจากได้มีโอกาสรับรู้นิทานเรื่องนี้จากการได้ฟังในงานศพ และชมเป็นมหรสพตามงานบุญต่างๆ
ในรูปของ หมอลำ หนังบักตื้อหรือหนังตะลุงอีสาน เป็นต้น
ที่มาของชื่อเรื่องสังข์ศิลป์ชัย
คือ ตั้งชื่อเรื่องตามตัวละครเพราะเป็นตัวละครเอกของเรื่องเป็นผู้ที่ดำเนินเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องสังข์สินไซจากต้นจนจบ
โดยสินไซเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษและมีอาวุธติดตัวมาตั้งแต่เกิดคือสังข์โดยมีสีโหเป็นเพื่อนคู่ใจ
๒.แก่นเรื่อง
คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ถึงจะอยู่ที่ไหนหากแม้นว่าเป็นคนดีเมื่อเวลาตกทุกข์ได้ยากก็จะมีคนคอยช่วยเหลือยู่ตลอดเวลา
คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ถึงจะอยู่ที่ไหนหากแม้นว่าเป็นคนดีเมื่อเวลาตกทุกข์ได้ยากก็จะมีคนคอยช่วยเหลือยู่ตลอดเวลา
๓.โครงเรื่อง
การเปิดเรื่อง
กล่าวถึง เมืองปัญจาล หรือ (เป็งจาล)
มีพระราชาพระนามว่า ท้าวกุศราช มีมเหสีชื่อนางจันทาเทวี วันหนึ่งพระขนิษฐาของท้าวกุศราชชื่อนางสุมณฑา ถูกยักษ์กุมภัณฑ์ลักพาตัวไปโดยที่ท้าวกุศราชไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย
การดำเนินเรื่อง
๑. อยู่มาวันหนึ่งพระชายาทั้งเจ็ดและพระมเหสีทรงตั้งครรภ์
ประสูติออกมาเป็นโอรสทุกพระองค์
พระมเหสีนางจันทาเทวีประสูติโอรสเป็นราชสีห์ชื่อว่า " สีโห"
ส่วนพระชายาองค์สุดท้องประสูติโอรสชื่อว่า " สินไซ (ศิลปชัย) "
และมีสังข์เป็นอาวุธติดมือมาตั้งแต่เกิด
๒. ครั้นนั้นโหราทำนายว่าพระโอรสสินไซมีบุญญาธิการมาก
สามารถปราบยักษ์และศัตรูได้ทั่วจักรวาล พี่สาวทั้งหกอิจฉาน้องสาวมาก
จึงติดสินบนหมอโหราให้ทำนายเท็จกราบทูลท้าวกุศราช
ท้าวกุศราชจึงจำยอมขับไล่นางและโอรสสินไซออกจากเมือง
เพราะโหรทูลว่าพระโอรสจะนำความวิบัติมาสู่บ้านเมือง ท้าวสีโหโอรสมเหสีจันทาเทวีขอติดตามสินไซไปด้วย
๓. เมื่อพระอินทร์ทราบเรื่องจึงมาเนรมิตกระท่อมให้แม่ลูกอาศัยอยู่จนเติบใหญ่
๔. เมื่อหกกุมารเจริญวัยได้เสด็จประพาสป่ามาพบกระท่อมของสินไซและมารดา
สินไซได้แสดงอภินิหารให้กุมารทั้งหกชม วันหนึ่งกุมารทั้งหกอยากอวดอิทธิฤทธิ์ให้บิดาชม
จึงมาติดสินบนให้สินไซเรียกสัตว์เข้าเมือง
พระบิดาเห็นดังนั้นจึงคิดว่าพระกุมารมีอิทธิฤทธิ์สามารถเรียกสัตว์ป่าได้จริง ๆ
๕. พระบิดาจึงสั่งให้กุมารทั้งหกไปติดตามหานางสุมณฑาที่ยักษ์ลักพาไป
พระกุมารทั้งหกจึงอ้อนวอนให้สินไซช่วยเหลือไปตามพระเจ้าอา พระมารดาไม่อยากให้สินไซไป
แต่สินไซได้รับรองกับพระมารดาว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์ มีทั้งสังข์
และท้าวสีโหที่จะช่วยขจัดภัยพิบัติทั้งปวง พระมารดาจึงยินยอมให้ไปกับกุมารทั้งหก
๗. เมื่อกองโยธาไปถึงฝั่งมหาสมุทรสินไซจึงให้กองโยธาและกุมารทั้งหกตั้งทัพคอยอยู่ที่ฝั่งน้ำ
ตนและสีโหจะไปยังเมืองยักษ์ติดตามนางสุมณฑาเอง
สินไซก็ขี่ท้าวสีโหเหาะไปจนถึงเมืองยักษ์ ได้พบนางสุมณฑาเล่าเรื่องของตนให้ฟัง
๘.ในที่สุดสินไซก็ฆ่ายักษ์กุมภัณฑ์ได้
และไปเมืองนาคเล่นพนันเอาเมืองกับท้าววิรุณนาค ท้าววิรุณนาคแพ้ยอมยกเมืองให้
แต่ไม่ยอมให้นางสุดาจันทร์ ทั้งสองจึงรบกัน สินไซชิงนางไปได้
จึงพานางสุดาจันทร์และนางสุมณฑากลับมายังฝั่งมหาสมุทรที่กุมารตั้งทัพคอยอยู่
๙. เมื่อกุมารทั้งหกเห็นดังนั้นก็เกิดอุบายที่จะกำจัดสินไซขึ้นโดยพากันหลอกให้สินไซเดินไปหน้าผาแล้วผลักให้สินไซตกลงไป
๑o.
เมื่อทำตามแผนสำเร็จกุมารทั้งหกก็พานางสุมณฑากลับเข้าเมืองเมื่อท้าวกุศราชเห็นดังนั้นก็ดีใจและได้ชื่นชมในความสามารถของกุมารทั้งหก
การปิดเรื่อง
เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าไม่ใช่กุมารทั้งหกที่เป็นคนพานางสุมณฑากลับมายังบ้านเมืองท้าวกุศราชจึงสั่งเนรเทศกุมารทั้งหกออกจากเมืองแล้วได้ไปเชิญสินไซและมารดากลับเข้ามายังบ้านเมืองต่อสินไซจึงได้ขึ้นปกครองบ้านเมือง
โดยทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขตลอดกาล
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)